ในโลกปัจจุบันที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว การตั้งเป้าหมายที่เหมาะสมได้กลายเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับทุกคน เพราะถ้าเรามีแค่ความฝันแต่ไม่รู้วิธีที่จะไปถึง มันก็ไม่มีประโยชน์เลย โดยเฉพาะกับคนทำมาหากิน อย่างพ่อค้าแม่ค้า คนขายออนไลน์ หรือฟรีแลนซ์ ไม่ว่าเพื่อนๆ จะทำธุรกิจขนาดเล็กหรือทำงานเป็นฟรีแลนซ์ การตั้งเป้าหมายที่ดีและจับต้องได้ เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ที่จะทำให้เราไปถึงความฝันที่เราต้องการไม่ว่าเรื่องอะไร และหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าการตั้งเป้าหมายที่ดีนั้นมันเป็นยังไง วันนี้ฟินนี่เลยเอาการกำหนดเป้าหมายแบบ SMART (อ่านว่า สมาร์ท น้า) มาฝาก หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆ นะ
เริ่มแรกเรามาทำความรู้จักกับการตั้งเป้าหมายแบบ SMART เป็นเทคนิคที่คนชอบใช้เวลาตั้งเป้าจะทำอะไรสักอย่างนั้นเอง ซึ่ง SMART จะต้องเป็นเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง (Specific) วัดผลได้ (Measurable) ทำได้จริง (Achievable) สอดคล้องกัน (Relevant) และมีระยะเวลาที่ชัดเจน (Time-based) หลายคนอาจจะยังไม่เห็นภาพ เรามาเจาะแต่ละข้อกันเลยดีกว่า
1. เป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง (Specific)
ขั้นตอนแรกในการกำหนดเป้าหมาย SMART คือการเจาะจงให้ชัดเรื่องเป้าหมาย แทนที่จะตั้งเป้าหมายทั่วๆ ไป เช่น “ฉันต้องการประหยัดเงิน” เราต้องเจาะจงว่าเราต้องการประหยัดเงินเท่าไร และทำไมเราถึงต้องการออมเงิน
ตัวอย่างเช่น หากเพื่อนๆ เป็นคนขายของหาบเร่ เป้าหมายทางการเงินเฉพาะของเราอาจเป็นการเพิ่มยอดขายรายวัน 20% ภายในสิ้นปี สิ่งนี้จะทำให้เราต้องเน้นไปที่การปรับปรุงวิธีการขายของหรือหาอะไรใหม่ๆ มาช่วย และเริ่มหาช่องทางการขายในที่ใหม่ๆ
2. วัดผลได้ (Measurable)
จากประสบการณ์ของฟินนี่ การตั้งเป้าหมายโดยที่ไม่รู้ว่าจะวัดยังไง สุดท้ายแล้วเราก็จะไม่ได้อะไรน้า และเพื่อให้แน่ใจว่าเป้าหมายของเราสามารถวัดผลได้ เราควรกำหนดวิธีที่จะช่วยติดตามความคืบหน้าในการไปถึงเป้าหมาย จากตัวอย่างก่อนหน้านี้ พ่อค้าแม่ค้าสามารถวัดยอดขายรายวันของเรา แล้วเปรียบเทียบกับยอดขายจากหกเดือนก่อนหน้าได้
3. บรรลุผลได้ (Achievable)
การตั้งเป้าหมายต้องไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันน้า เป้าหมายที่เราตั้งนั้นต้องสามารถทำให้เป็นจริงได้ด้วย เพื่อนๆ ต้องดูสถานการณ์ธุรกิจปัจจุบันของเราไปด้วยว่าเป็นยังไงบ้าง การตั้งเป้าที่เกินจริงอาจทำให้เรารู้สึกท้อแท้ เพราะมันไม่ก้าวหน้าสักที การตั้งเป้า เราควรพิจารณาของที่เรามีตอนนี้ สภาพเศรษฐกิจ สภาพตลาด และคู่แข่งก่อนที่จะกำหนดเป้าหมาย ยกตัวอย่างเช่น การตั้งเป้าหมายว่าเราจะต้องมีกำไรเพิ่ม 5 เท่า ภายในระยะเวลา 1 เดือน ในขณะที่ต้นทุนของเราเพิ่มสูงขึ้นเพราะร้านที่เราไปรับของมาขายปรับขึ้นราคา สิ่งนี้อาจเป็นการตั้งเป้าหมายที่เกินจริง เพราะด้วยปัจจัยต่างๆ นั้นเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าเราปรับเป้าหมายเป็น เดือนถัดไป เราจะรักษากำไรให้เท่าเดิม ในขณะที่ต้นทุนเราสูงขึ้น อาจเป็นการตั้งเป้าที่ดูเป็นไปได้และเหมาะสมกว่าในสถานการณ์แบบนี้
4. สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว (Relevant)
การตั้งเป้าหมายของเพื่อนๆ ควรสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวของเพื่อนๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น พ่อค้าแม่ค้าที่ต้องการตั้งเป้าเพิ่มกำไรใน 3 เดือนนี้ เนื่องจากมีแพลนจะขยายสาขาเพิ่ม 1 สาขา ภายในสิ้นปี ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะยาว นั้นต้องสอดคล้องกับเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจของเพื่อนๆ
5. ขอบเขตของเวลา (Time-bound)
การกำหนดเวลาจะช่วยให้เรารู้ว่าเราต้องวัดผลเมื่อไหร่ เรามีเวลาในการทำเท่าไหร่ และควรจะสำเร็จเมื่อไหร่ ฟินนี่แนะนำว่า การที่เราจะตั้งเวลาพวกนี้ เราอาจจะเริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า เป้าหมายนี้ของเรามีเวลาเท่าไหร่ที่จะทำให้สำเร็จ และเมื่อไหร่ที่เราต้องการให้เป้านี้สำเร็จ เพื่อนๆ ควรกำหนดกรอบเวลาที่เฉพาะเจาะจง ยกตัวอย่าง พ่อค้าแม่ค้าควรกำหนดเวลาเป็นเวลาหกเดือนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเพิ่มยอดขายรายวัน 10% และจะทำการประเมินผลทุกๆ เดือนเพื่อดูความก้าวหน้า และปรับแผนในการขายของ การตั้งกรอบเวลาแบบนี้ก็จะช่วยให้เพื่อนๆ รู้แล้วว่าต้องเริ่มทำอะไรก่อนหลัง
ต่อมาฟินนี่จะมายกตัวอย่างการตั้งเป้าหมาย SMART Goal ให้ 3 อาชีพตัวอย่าง ได้แก่ พ่อค้าแม่ค้า, แม่ค้าออนไลน์, ฟรีแลนซ์ แบบง่ายๆ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจได้ง่ายขึ้น หรือลองเอาไปปรับกับเป้าของตัวเองกันนะ
พ่อค้าแม่ค้าแผงลอย
เป้าหมายเฉพาะเจาะจง: ฉันต้องการเพิ่มรายได้จากการขายรายวัน 20% ในอีก 3 เดือนข้างหน้า
วัดผลได้: ฉันจะติดตามรายได้จากการขายรายวันโดยการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และเปรียบเทียบกับรายได้ของเดือนก่อนหน้า
ทำได้จริง: ฉันจะทำเป้าหมายนี้ด้วยการขายของอื่นๆ เพิ่มเติมนอกจากของที่มีอยู่แล้ว และจะไปขายในหลายๆ ที่มากขึ้น เพื่อเพิ่มยอดขาย
สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว: การเพิ่มรายได้จากการขายจะช่วยให้ร้านของฉันเติบโตและเพิ่มรายได้ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ฉันดีขึ้นได้ในอนาคต
ขอบเขตเวลา: ฉันจะบรรลุเป้าหมายนี้ภายใน 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ฉันมีเวลาเพียงพอในการทำงานของฉันและเห็นผลได้
พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ขายสินค้าบนช่องทาง Lazada หรือ Shopee
เป้าหมายเฉพาะเจาะจง: ฉันต้องการเพิ่มรายได้จากการขายบน Lazada/Shopee 30% ในอีก 3 เดือนข้างหน้า
วัดผลได้: ฉันจะติดตามรายได้จากการขายของฉันบน Lazada/Shopee โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์ของแอปพลิเคชันที่เสนอมาให้ และจะใช้วิธีเปรียบเทียบกับรายได้ในเดือนก่อนหน้าของฉัน
ทำได้จริง: ฉันจะทำให้เป้าหมายนี้สำเร็จ โดยการเพิ่มรายการสิ่งของ เขียนรายการให้น่าสนใจ เสนอราคาที่ไม่สูงมาก และดึงดูดลูกค้า
สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว: การเพิ่มรายได้จากการขายของฉันบน Lazada/Shopee จะช่วยให้ธุรกิจของฉันเติบโตและเพิ่มลูกค้าในอนาคตได้
ขอบเขตเวลา: ฉันจะบรรลุเป้าหมายนี้ภายใน 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ฉันมีเวลาเพียงพอในการทำงานและปรับวิธีการขายของฉัน
ฟรีแลนซ์หรือไรเดอร์:
เป้าหมายเฉพาะเจาะจง: ฉันต้องการเพิ่มรายได้ 20% ในอีก 2 เดือนข้างหน้า
วัดผลได้: ฉันจะติดตามรายได้ของฉันโดยเขียนบัญชีรายรับ-รายจ่าย ในสมุด และใช้แอป Money Lover ช่วยให้เห็นภาพมากขึ้น และจะเปรียบเทียบกับรายได้ในเดือนก่อนหน้าของฉัน
ทำได้จริง: ฉันจะไปถึงเป้าได้ด้วยการเริ่มหางานเสริมอื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า และจะพัฒนาและเรียนรู้ทักษะอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การขายของออนไลน์ หรือขายหมูปิ้งช่วงเช้า เพื่อขยายลูกค้า
สอดคล้องกับเป้าหมายในอนาคต: การเพิ่มรายได้ของฉันจะช่วยให้ฉันสามารถไปถึงเป้าหมายทางการเงินและทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของฉันดีขึ้น
ขอบเขตเวลา: ฉันจะบรรลุเป้าหมายนี้ภายใน 2 เดือนข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ฉันมีเวลาในการทำงานและปรับวิธีเพื่อดูผลลัพธ์
SMART Goal เป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่ฟินนี่หยิบมาฝาก หวังว่าหลายๆ คนจะลองเอาไปใช้กันน้า และสำหรับใครที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจเล็กๆ แต่ไม่มีทุน แล้วก็ไม่อยากไปกู้นอกระบบ สามารถมายืมแอปฟินนิกซ์ได้นะจ้ะ ฟินนี่อยากให้คนทำมาหากินแบบเราๆ สามารถไปถึงเป้าหมายและความฝันของตัวเองให้ได้นะ
สุดท้ายนี้ …
หลังจากที่เราตั้งเป้าหมายเสร็จแล้ว เพื่อนๆต้องนำไปประยุกต์ใช้ ซึ่งฟินนี่ได้รวบรวมวิธีทำและเทคนิคการจัดการเงิน ที่ใครๆก็สามารถทำได้ เริ่มได้ทันทีวันนี้ อ่านต่อที่: 6 เทคนิค การจัดการเงิน ยังไงให้อยู่รอด ทำง่ายๆเริ่มได้ด้วยตัวเองตอนนี้ – FINNIX